เมนู

มนสิการปัคคาหนิมิตตามกาลอันควร มนสิการอุเบกขานิมิตตามกาลอันควร
เมื่อนั้น จิตนั้นจึงเป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน เป็นจิตผุดผ่องและมั่น แน่วแน่
เป็นอย่างดีเพื่อความสิ้นอาสวะ
เธอน้อมจิต (อย่างนั้น) ไปเพื่อทำให้แจ้งด้วยอภิญญา ซึ่งอภิญญา
สัจฉิกรณียธรรมใด ๆ ในเมื่อความพยายามมีอยู่ เธอย่อมถึงความเป็นผู้อาจ
ทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ (คือ)
(1) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างต่างวิธี ฯลฯ
(เหมือนสูตรก่อนจนจบ).
จบสมุคคตสูตรที่ 11
จบโลณผลวรรคที่ 5


อรรถกถาสมุคคตสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสมุคคตสูตรที่ 11 ดังต่อไปนี้ :-
อธิจิต ได้แก่จิตในสมถะและวิปัสสนานั่นแล. บทว่า ตีณิ นิมิตฺ-
ตานิ
ได้แก่ เหตุ 3. บทว่า กาเลน กาลํ ได้แก่ ในกาลอันสมควร
อธิบายว่า ตลอดกาลอันเหมาะสม. ในบทว่า กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ
มนสิกาตพฺพํ
เป็นต้น มีอธิบายว่า ภิกษุพึงกำหนดกาลนั้น ๆ แล้ว มนสิการ
ถึงเอกัคคตา (ความที่จิตมีอารมณ์เดียวเป็นเลิศ) ในเวลาที่จิตประกอบด้วย
เอกัคคตา.

เพราะว่า ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเอกัคคตาว่าเป็น
สมาธินิมิต. ในบทว่า สมาธินิมิตฺตํ นั้น มีความหมายของคำดังนี้ นิมิต
คือ สมาธิ ชื่อว่า สมาธินิมิต. แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้แล. บทว่า
ปคฺคาโห (การประคองจิต) เป็นชื่อของวิริยะ. บทว่า อุเปกขา เป็นชื่อ
ของมัชฌัตตภาวะ (ความที่จิตเป็นกลาง). เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงมนสิการถึง
วิริยะในเวลาที่เหมาะสมแก่วิริยะ. พึงดำรงอยู่ในมัชฌัตตภาวะในเวลาที่เหมาะ-
สมแก่มัชฌัตตภาวะแล. บทว่า ฐานนฺตํ จิตฺตํ โกสชฺชาย สํวตฺเตยฺย
ความว่า เหตุที่ทำให้จิตนั้นดำรงอยู่ในภาวะ คือ ความเกียจคร้านมีอยู่. แม้ใน
เหตุนอกนี้ ก็มีนัยนี้แล. และในบทว่า อุเปกขานิมิตฺตํเยว มนสิกเรยฺย
นี้มีเนื้อความดังนี้ว่า ภิกษุพึงเพ่งดูความว่องไวแห่งญาณเฉย ๆ. บทว่า อาส-
วานํ ขยาย
ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่อรหัตผล.
บทว่า อุกฺกํ พนฺเธยฺย ได้แก่ พึงเตรียมกระเบื้องใส่ถ่าน. บทว่า
อาลิมฺเปยฺย ความว่า พึงใส่ถ่านไปในกระเบื้องใส่ถ่านนั้น แล้วจุดไฟใช้
สูบเป่าให้ไฟติด. บทว่า อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย ความว่า พึงคุ้ยเขี่ย
ถ่านเพลิง แล้ววางไว้บนถ่าน หรือใส่ไว้ในเบ้า. บทว่า อชฺฌุเปกฺขติ
ได้แก่ ใคร่ครวญดูว่า ร้อนได้ที่แล้ว.
บทว่า สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยาย ได้แก่(จิต) ตั้งมั่น
อยู่โดยชอบ เพื่อประโยชน์แก่อรหัตผล. ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา แล้วบรรลุ
อรหัตผล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.

บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงปฏิปทาเป็นเหตุให้บรรลุอภิญญาของพระขีณา-
สพนั้น จึงตรัสคำว่า ยสฺส ยสฺส จ เป็นต้น. คำนั้น พึงทราบตามนัย
ที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั่นแล.
อรรถกถาสมุคคตสูตรที่ 11
จบโลณผลวรรควรรณนาที่ 5
จบทุติยปัณณาสก


รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. อัจจายิกสูตร 2. วิวิตตสูตร 3. สรทสูตร 4. ปริสาสูตร
5. ปฐมอาชานียสูตร 6. ทุติยอาชานียสูตร 7. ตติยอาชานียสูตร 8. นวสูตร
9. โลณกสูตร 10. สังฆสูตร 11.สมุคคตสูตร และอรรถกถา.